รีวิวการ์ตูน coco
ช่วงนี้มีหนังที่พูดถึงความตายถึง 2 เรื่องเข้าฉายพร้อมกัน เรื่องแรก Die Tomorrow ของคุณเต๋อ นวพล อันนี้ผมยังไม่ได้ดู ที่จะมาพูดถึงวันนี้คือแอนิเมชันสุดประทับใจที่มีชื่อว่า Coco เป็นหนังที่เซอร์ไพร์สสำหรับผมมากจริงๆ สารภาพว่าในตอนแรกที่ผมดูตัวอย่างหนัง ผมแทบไม่ได้สนใจเลย เพราะเห็นสไตล์หนังคิดว่าเป็นหนังแอนิเมชันที่เน้นไปทางเด็กดูมากกว่า จนมาเห็นกระแสวิจารณ์ค่อนข้างดี เลยต้องหันกลับมาดู แล้วก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงชมกันว่าหนังดีมาก รวมทั้งผมยังคิดว่า รีวิวการ์ตูน coco ถือเป็นตัวเต็งที่แข็งมากในเวทีออสการ์ สาขารางวัลแอนิเมชันยอดเยี่ยม (คิดว่าโอกาสได้สูงมาก !)
แอนิเมชันจาก Pixar ภายใต้การควบคุมของ Disney หนังได้รับการกำกับโดย Lee Unkrich และ Adrian Molina โดย Lee Unkrich อนิเมะออนไลน์ เคยได้รับออสการ์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาแล้วครั้งนึงจาก Toy Story 3 (2010) และเป็นผู้กำกับผลงานชื่อดังอย่าง Finding Nemo (2003) สำหรับเรื่อง Coco มีเนื้อหาเกี่ยวกับ มิเกล เด็กน้อยผู้รักในเสียงดนตรี และมีความฝันอยากจะเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แบบ เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ (Ernesto de la Cruz ) แต่ทีนี้ตระกูลของมิเกลดันมีปมกับเรื่องดนตรีซะงั้น ทุกคนต่างเกลียดดนตรีเข้าไส้ ด้วยความที่มิเกลอยากจะเล่นดนตรีเขาจึงตัดสินใจฝืนคำสั่งครอบครัวไปลงแข่งประกวดดนตรี ด้วยความพลิกผันทำให้เขาหลุดไปสู่ในโลกหลังความตาย
และโลกหลังความตายก็มีกฏว่า เขาจะต้องกลับมาที่โลกมนุษย์ให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มิฉะนั้นเขาจะติดอยู่ในโลกหลังความตายไปตลอดกาล
เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ตัวหนังผสมผสานประเด็นใหญ่ๆ ถึงสามเรื่องเชื่อมไว้ด้วยกัน คือเรื่อง “ความฝัน ครอบครัว และความตาย” โดยประเด็นที่หนังเน้นมากที่สุดคือเรื่อง “ครอบครัว” เล่าถึงสายใยระหว่างครอบครัว ความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นจุดแข็งหนึ่งของเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
“ความตาย” อีกจุดที่เตะตาผมและทำให้ผมรู้สึกว่าหนังสร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ต่างไปจากเรื่องอื่นคือ ดูอนิเมะ การนำเรื่องโลกหลังความตายมาใช้ เรื่องราวความตายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีคนนำมาใช้สักเท่าไร เพราะใช้ทีไรมักทำให้โทนหนังดูจริงจัง ดูมืด ดูน่ากลัว ยิ่งเป็นแอนิเมชันสายกระแสหลักที่มีฐานผู้ชมเป็นเด็กด้วย ความตายดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะนำมาเสนอให้เด็กดูได้ แต่สำหรับ Coco ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลย หนังสามารถสร้างสรรค์ให้โลกแห่งความตายเป็นโลกที่ไม่น่ากลัว มันก็เหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่คนก็ยังใช้ชีวิตตามปกตินะแหละ แต่อยู่ในรูปโครงกระดูกนั่นเอง (แถมยังน่ารักด้วย 555)
ส่วนประเด็นเรื่อง “ความฝัน (และดนตรี)” เป็นปมสำคัญของเรื่องปมหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับสองประเด็นที่กล่าวไป เหมือนเป็นตัวนำเรื่องที่โยงเข้าสู่แก่นหนังที่แท้จริง หนังนำเสนอเรื่องราวของเด็กที่มีความฝัน และอยากเป็นอย่างซูเปอร์สตาร์ในดวงใจ ทว่าด้วยความฝันและความคลั่งไคล้กลับทำให้เขาได้พบกับครอบครัวอีกฝั่งที่เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอและยังเป็นโอกาสอันดีที่จะตามหาไอดอลในฝันอย่าง เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ อีกด้วย ถ้าไม่ได้ผ่านโลกหลังความตายมา เขาคงไม่มีโอกาสแบบนี้ ดูอนิเมะออนไลน์
รีวิวการ์ตูน ประเด็นสุดท้ายเรื่อง ดนตรี ดนตรีในเรื่องนี้มีความสำคัญในแง่ที่ว่า เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกสองโลกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันได้ทำให้คนเป็นและคนตายได้สื่อถึงกันและกัน แม้จะไม่ได้พบหน้าผ่านเสียงท่วงทำนองดนตรีนั่นเอง
Dia de los Muertos (Day of the Dead) คือธีมหลักที่หนังนำมาใช้บอกเล่าเรื่องราวของหนัง วันแห่งความตายนี้ เป็นวันหนึ่งในรอบปีที่ชาวเม็กซิกันเชื่อว่า บรรพบุรุษญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะเดินทางข้ามสะพานดอกไม้จากโลกแห่งความตายกลับมาสู่โลกแห่งคนเป็น เพื่อพบหน้ากับเหล่าญาติคนรู้จักอีกครั้งหนึ่ง
ในวันนี้เหล่าครอบครัวจะมาพบหน้ากันและจัดพิธีโรยกลีบดอกไม้เป็นเส้นทางเพื่อให้ผู้ตายเดินกลับมาได้ถูกทาง ผมชอบในไอเดียนี้นะที่หนังนำเรื่องเทศกาล Dia de los Muertos มาเล่า ความเชื่อเรื่องการส่งความปราถนาดีต่อผู้ที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้วกลับมาให้พรกับลูกหลาน เป็นความเชื่อที่มีอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
ในหนังพูดถึงเม็กซิกัน แต่ผมคิดว่าเราก็สามารถเข้าใจในเทศกาลนี้ได้ไม่ยาก เพราะอย่างในบ้านเรา คนไทยเชื้อสายจีนก็มีการไหว้บรรพบุรุษกันในช่วงเชงเม้ง หรือแม้กระทั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองก็เกี่ยวกับประเด็นนี้ ส่วนชาวไทยแท้ๆก็มีงานบุญ การกรวดน้ำอุทิศแด่บรรพบุรุษที่ล่วงลับมาแล้ว เทศกาลเหล่านี้ยังมีอีกในหลายประเทศใครสนใจลองไปอ่านในนี้ละกัน
เหมียวพาชม ความเชื่อและที่มาของ 10 เทศกาลแห่ง ‘ความตาย’ จากรอบโลก!!!
พูดถึงการดำเนินเรื่องหนัง หนังดำเนินเรื่องได้ฉับไว สนุกลื่นไหล มีกลิ่นอายตามสูตรสไตล์แอนิเมชันสายกระแสหลักคือ ต้องมีช็อตฮา ช็อตซึ้ง ช็อตเศร้า ช็อตหักมุม ตรงนี้ผมว่าเราก็คุ้นเคยกันอยู่แล้วล่ะ บางส่วนก็พอเดาได้บ้างหรือเดินตามสูตรหนัง แต่มันกลับทำได้สนุก ที่ประทับใจที่สุดและรู้สึกว่าหนังทำได้ดีมากคือ การบีบอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบีบอารมณ์ให้เราน้ำตาคลอหน่วยได้ โดยไม่ดูจงใจ ไม่เสแสร้งอะไรเลย ทำให้เรารู้สึกอินแนบแน่น ผูกพันไปกับตัวละคร
” หนังที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ” ผมคิดว่าถ้าให้เด็กดูแบบสนุกๆคงดูได้ แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้งถึงประเด็นต่างๆที่ผมกล่าวไป คงยากหน่อย เหตุผลหนึ่งที่ผมว่าทำให้ผู้ใหญ่อินกว่า น่าจะเป็นเพราะ ผู้ใหญ่ได้สัมผัสถึงประสบการณ์ต่างๆมามากกว่าเด็ก จึงทำให้มีอารมณ์ร่วมมากกว่า เช่น ญาติเราเสียหรือใครก็ตามเสีย หากเราก็มีความผูกพันกับผู้ตาย เราย่อมสัมผัสกับความเจ็บปวดนี้ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะทะเลาะกัน คืนดีกัน หัวเราะ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ร่วมที่ทุกคนเคยผ่านมา และคิดว่าผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจได้ดีกว่าเด็ก
COCO เป็นเรื่องของเด็กชายเม็กซิกันวัย 12 ปี Miguel Rivera (Anthony Gonzalez) เกิดมาในครอบครัวที่แอนตี้ดนตรี เพราะปู่เทียดของเขาเคยละทิ้งครอบครัวไปเพื่อไปเล่นดนตรี แต่ Miguel ฝันอยากเป็นนักดนตรี
Miguel ไม่มีกีต้าร์ เพราะย่า (Renee Victor) ทำลายไปแล้ว เขาจึงต้องแอบไปขโมยกีต้าร์ของ Ernesto de la Cruz (Benjamin Bratt) นักร้องในตำนานผู้ล่วงลับ มาใช้ในการประกวดร้องเพลงในวันเทศกาลสำคัญประจำปี ซึ่งนั่นทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นกับเขา เขากลายเป็นวิญญาณ และได้ไปยังดินแดนแห่งความตาย
รีวิวการ์ตูน coco
ที่นั่นเขาได้เจอกับบรรพบุรุษในตระกูลผู้ล่วงลับไปแล้วของเขา รวมถึงย่าเทียด Imelda (Alanna Ubach) ผู้ซึ่งพร้อมจะช่วยให้ Miguel กลับไปยังโลกมนุษย์ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเลิกยุ่งกับดนตรี ซึ่ง Miguel ไม่ยอม เขาหนีเหล่าวิญญาณบรรพบุรุษของตัวเอง เพื่อไปตามหา Ernesto de la Cruz ผู้เป็นไอดอลในดวงใจ โดยมีวิญญาณไร้ญาติ Héctor (Gael García Bernal) คอยช่วยเหลือ
ส่วนชื่อเรื่อง Coco คือชื่อของย่าทวดของเขา ซึ่งเราอาจจะได้มาเก๊ตตอนท้าย ๆ เรื่องว่าทำไมชื่อเรื่องต้องชื่อ Coco ไม่ใช้ชื่อ Miguel (แอบซึ้งน้ำตาซึม ฮือออ)
ต้องยอมรับว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ Pixar เป็นค่ายที่ทำการ์ตูนแอนิเมชั่นได้สนุก และเล่าเรื่องดีงาม แถมสอนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ดีกว่า หนังที่ใช้คนแสดงจริง ๆ หลายต่อหลายเรื่องเสียอีก ปีนี้ก็เป็นอีกปี ที่เรามั่นใจว่าหนังแอนิเมชั่นจากค่าย Pixar จะต้องได้เข้าชิงออสการ์ ดีไม่ดีอาจได้รางวัลชนะเลิศไปเลยเสียด้วยซ้ำ สำหรับเรื่อง COCO
ปีนี้ตัวเราเองอาจได้ดูหนังแอนิเมชั่นไปไม่เยอะเรื่องนัก แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า COCO เป็นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นที่ดีและสนุกที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 2017 เพราะความดีงามและความสนุกของ COCO ทัดเทียมกับ Zootopia, Inside Out และอีกหลาย ๆ เรื่องที่เข้าชิงและได้รับรางวัลออสการ์เมื่อปีก่อน ๆ มาแล้ว
COCO หน้าหนังเหมือนจะเป็นหนังคนล่าฝัน แต่จริง ๆ แล้ว ความฝันและการตะกายฝันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หลัก ๆ อนิเมะ ที่หนังพยายามสอนเรา และสอนได้น่ารักมาก ๆ คือ เรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว การเคารพและการระลึกถึงญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว
เราเกิดมาในยุคที่ celebrities เฟื่องฟู เรามีนักร้องดังหรือดาราตัวท็อปเป็นไอดอล คนเหล่านี้จะเป็นหรือจะตาย ก็จะมีคนรัก เทินทูน และจดจำไปอีกนานมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ในขณะที่คนที่ไม่ได้ดังอาจไม่ได้รับการจดจำ ทั้งที่เขาอาจอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนกลุ่มแรกที่กล่าวมานั้น หรือแม้แต่ญาติผู้ใหญ่ในบ้านของเราเองก็ตาม บางคนยังจดจำและระลึกถึงพวกเขาไม่มากพอ
ทำให้เราเข้าใจจริง ๆ ว่า คนที่เขาตายไปแล้ว แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ไปไหนเลย หากแต่ยังอยู่กับพวกเราเสมอ ถ้าเราคิดถึงหรือระลึกถึงพวกเขาเช่นกัน คนเราจะตายได้จริง ๆ ก็ต่อเมื่อไม่มีใครระลึกถึงเขาอีกแล้วหรือไม่มีตัวตนบนโลกแล้วจริง ๆ มากกว่า
เนรมิตโลกแห่งความตายออกมาได้สวยงาม ไม่น่ากลัว แต่กลับน่าสนุกกว่าโลกมนุษย์เสียอีกด้วยซ้ำ ตรงส่วนนี้เราไม่ผิดหวังเลย ดูแล้วก็นึกถึงตอนเขาครีเอทโลกของสัตว์ใน Zootopia
ตัวละครหลักในเรื่องเป็นชาวเม็กซิกัน ถือว่า Pixar เองก็กล้าหาญในระดับหนึ่งที่เลือกทำแบบนี้ในยุคที่ Donald Trump ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในเรื่องตัวละครเม็กซิกันก็มีพูดภาษาสเปนเป็นครั้งคราว เฉพาะคำสำคัญ ๆ หรือในบริบทที่คนดูน่าจะเข้าใจได้ว่ามันแปลว่าอะไรถึงแม้จะไม่มี subtitle (ซึ่งจริง ๆ คือเขาก็ไม่ทำ subtitle เป็นภาษาอังกฤษจริง ๆ ด้วยสำหรับคำที่พูดเป็น Spanish)
เป็นหนังที่เราดูแล้วรู้สึกอบอุ่น อิ่มเอม ชุ่มชื้นหัวใจ และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันเป็นสุข แถม “Olaf’s Frozen Adventure” ซึ่งเป็นหนังสั้นความยาว 20 นาทีที่แถมมาก่อนเริ่มเรื่อง ก็ปูทางให้ COCO ทำงานง่ายขึ้นมาด้วยแล้วอย่างดี ทั้งในประเด็นของครอบครัวและประเพณี (ยิ่งใครเป็นแฟน Frozen ก็คงยิ่งฟิน ๆ ๆ แล้วก็เตรียมดูภาค 2 กันได้เลย)