รีวิว Parasyte The Maxim
Parasyte The Maxim อนิเมะเวอร์ชั่นที่นำการ์ตูนมังงะสุดคลาสสิคผลงานของอาจารย์ Hitoshi Iwaaki เรื่อง Parasyte (ปรสิต เดรัจฉาน) มาสร้างใหม่เป็นฉบับ Anime TV Series ออกฉายในปี 2014-2015 ด้วยลายเส้นใหม่ที่ไม่เหมือนต้นฉบับในมังงะว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มปรสิตจากต่างดาวที่เข้ามายังโลกและต้องเข้ายึดครองร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกโดยการ “กิน” และยึดส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตนั้นเพื่อการดำรงชีวิตของตัวเองต่อไป ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มปรสิตจากต่างดาวที่เข้ามายังโลกและต้องเข้ายึดครองร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกโดยการ “กิน” และยึดส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตนั้นเพื่อการดำรงชีวิตของตัวเองต่อไป อนิเมะ
เนื้อเรื่อง รีวิว Parasyte The Maxim
แต่มีปรสิตตัวหนึ่งที่ไม่สามารถเข้ายึดครองร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อ ชินอิจิ ได้อย่างสมบูรณ์ จึงต้องทำการฝังตัวเองอยู่ที่มือขวา จึงกลายเป็นว่า เขากับปรสิตตัวนั้น (ที่ในภายหลังเขาได้ตั้งชื่อให้ว่า “มิกิ“) จะต้องอาศัยอยู่ร่วมกันภายในร่างกายเดียวกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และ ต้องคอยต่อสู้กับปรสิตตัวอื่นๆ ที่เข้ามายึดครองร่างกายมนุษย์ และ จับมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกครอบครองร่างกินเป็นอาหาร
แต่มีปรสิตตัวหนึ่งที่ไม่สามารถเข้ายึดครองร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อ ชินอิจิ ได้อย่างสมบูรณ์ จึงต้องทำการฝังตัวเองอยู่ที่มือขวา จึงกลายเป็นว่า เขากับปรสิตตัวนั้น (ที่ในภายหลังเขาได้ตั้งชื่อให้ว่า “มิกิ“) จะต้องอาศัยอยู่ร่วมกันภายในร่างกายเดียวกัน เรียนรู้ซึ่งกัน และ กัน และ ต้องคอยต่อสู้กับปรสิตตัวอื่นๆ ที่เข้ามายึดครองร่างกายมนุษย์ และ จับมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกครอบครองร่างกินเป็นอาหาร อนิเมะออนไลน์
ปรสิตเดรัจฉานน่าจะจัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมังงะหรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่คนไทยหลายต่อหลายคนคุ้นชื่อ และ เคยอ่านกันมาสมัยยุค 90 Parasyte Part 1 ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของฮิโตชิ อิวาอากิ ซึ่งเคยได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสาร After-noon ของนสพ. Kodansha ช่วงปี 1988-1995 โดยเวอร์ชั่นหนังดัดแปลงหนังสือการ์ตูนทั้งหมดแล้วแบ่งออกเป็นหนังสองภาคด้วยกัน
ตัวหนังกำกับโดยทาคาชิ ยามาซากิ ผู้กำกับจากไตรภาค Always และ Stand by me Doraemon ซึ่งแต่ละเรื่องเรียกได้ว่านอกจากจะทำเงินอย่างถล่มทลายในประเทศญี่ปุ่นแล้วยังโกยคำวิจารณ์ในแดนบวกกลับมาอย่างสม่ำเสมอ และ หนังเรื่องนี้เขาก็ยังคงทำงานร่วมกับมือเขียนบท เรียวตะ โคซาวะที่ทำงานใน Always มาด้วยกันนั่นเอง
เรื่องย่อ รีวิว Parasyte The Maxim
Parasyte บอกเล่าเรื่องราวของชินอิจิ(โชตะ โซเมะทานิ) หนุ่มมัธยมปลายที่บังเอิญต้องผูกสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่เปรียบราวกับปรสิตซึ่งมาอาศัยอยู่ในมือขวาของเขา และ มันเรียกตัวเองว่า “มิกิ” หรือแปลตามภาษาญี่ปุ่นว่า “มือขวา” ซึ่งอันที่จริงเจ้ามิกิไม่สามารถยึดครองสมองของชินอิจิได้เลยกลายเป็นว่าทั้งสองจึงต้องอยู่ร่วมเป็นเพื่อนกันไป
ทว่าเหตุการณ์ไม่ได้ง่ายสดใสน่ารักตามประสาเพื่อนรักต่างโลก เมื่อบรรดาปรสิตตัวอื่นสามารถครอบครองร่างของมนุษย์ และ ต้องกินมนุษย์เป็นอาหาร การออกล่าเหยื่อจนกลายเป็นเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญจึงเริ่มแพร่ระบาดไปในสังคมจนชินอิจิ และ มิกิต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยับยั้งเหตุการณ์เหล่านี้ ดูอนิเมะ
นอกจากจะเป็นมังงะที่นองเลือด และ แทรกอารมณ์ขันอยู่ในเรื่องราวแล้ว มันยังชวนผู้ชม/ผู้อ่านตั้งคำถามถึงปรัชญาความเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการดำรงอยู่ของมนุษย์ หนังเลือกจะสะท้อนมันผ่านตัวละครเรียวโกะ(เอริ ฟุคัตสึ) อาจารย์สาวที่ถูกปรสิตอัจริยะเข้าครอบครองร่าง เธอพยายามปรับตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์ และ ศึกษาความพิเศษของชินอิจิกับมิกิ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เลือกจะเอาร่างกายของตัวเองทดลองในการ “ผสมพันธุ์” กับ เอ ปรสิตที่ยึดร่างตำรวจหนุ่ม เป็นผลให้เธอตั้งครรภ์ และ นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่ว่า “สิ่งมีชีวิตในท้อง” ของเธอนั้นมีสถานะเป็นอะไร ปรสิตหรือมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้หนังยังพยายามสะเทือนอารมณ์ผู้ชมด้วยการปรับเปลี่ยนบทจากหนังสือการ์ตูนมาให้เป็นว่าชินอิจิได้รับการเลี้ยงดูมาจากแม่ของเขา (คิมิโกะ โย) ตั้งแต่เด็ก ภาระอันหนักอึ้งของผู้เป็นแม่ในการเลี้ยงลูกถูกถ่ายทอดผ่านแววตาของนักแสดงผู้นี้ และ หนังก็เลือกจะใช้หมัดเด็ดในการ “สะเทือนอารมณ์” ผู้ชมด้วยฉาก “ร่างที่ไม่ใช่แม่ของชินอิจิอีกต่อไป” รวมไปถึงฉากที่ชินอิจิต้องต่อสู้กับแม่ตัวเองตอนท้ายเรื่องด้วย
ความสนุกของหนังคือการผสมผสานแนวทางของหนังสยองขวัญเข้ากับอารมณ์ขันแบบมังงะ แทรกด้วยฉากแอ็คชั่นที่เป็นน้ำจิ้มให้ผู้ชมได้ลุ้นระทึกเป็นพักๆ ก่อนจะมานั่งขบคิดกับปรัชญาที่หนังคอยทิ้งไว้ตามรายทางของเรื่อง แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะยังไม่ได้ขมวดปมในภาคแรกทั้งหมด แต่ความบันเทิงในหนังพาร์ทแรกก็เรียกได้ว่ากระตุ้นต่อมที่ทำให้ผู้ชมอยากจะดูพาร์ท 2 ใจจะขาด
ทันทีที่เราดูหนังจบเรากลับไปอ่านการ์ตูนทันที เพราะตอนที่ดูหนัง คิดไว้แล้วว่ามันไม่ใช่การ์ตูนธรรมดา โอเค ! มันมีความเป็นแฟนตาซีแบบการ์ตูนอยู่ แต่ในขณะเดียวกันตัวเนื้อหามันก็ไปลึกเหมือนกัน มันไม่ใช่เพียงแค่ มนุษย์ที่ต่อสู้กับการบุกของสัตว์ประหลาดเท่านั้น
ปรสิตในหนังเรื่องนี้ทำให้เราแทนความหมายเชิงอุปมาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ , เอ่ยถึงลัทธิประหลาดที่แทรกซึมอยู่ในญี่ปุ่น, การวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ที่เกิดคดีสะเทือนขวัญ : ลองนึกถึงภาพที่เรากำลังดูข่าวสรยุทธ แล้วเขาอ่านข่าวบิ๊วอารมณ์ว่าพบศพมนุษย์กินคนดูสิ มันจะได้ภาพว่าถึงสังคมที่บิดเบี้ยวแค่ไหน คุณตำรวจในเรื่องบอกว่า หรือจะถึงไว้สิ้นสลายของมนุษย์ ? และ สุดท้ายการเปรียบปรสิตเป็นดังคนเลวในสังคม ที่ใช้ความเห็นแก่ตัวนำหน้า เราจึงเห็นว่าหนังทำให้ปรสิตไปอยู่ในอาชีพที่อิทธิพลต่อสังคมทั้งนั้น ครู,ตำรวจ,นักธุรกิจ,นักการเมือง ดูอนิเมะออนไลน์
แต่เหนืออื่นใด ต่อให้เรามองในเชิงอุปมาหาความหมายว่าปรสิตแทนกับสิ่งใด ไอเจ้าตัวอุปมามันก็ดำเนินไปในทางรูปธรรม คือ มันก็เป็นปรสิตจริง และ แพร่พันธุ์ได้จริง แทรกซึมกลายเป็นมนุษย์ได้จริง ตัวสัญลักษณ์อย่างปรสิตมันจึงมีอิสระในเชิงอุปมาด้วยตัวของมันเองได้ คือ มันเป็นจริงเชิงรูปธรรม ที่สะท้อนกลับไปหาความหมายต่างๆอย่างที่บอกไปข้างต้นได้ด้วย
ความเจ๋งของการ์ตูน และ หนัง คือ มันสะท้อนน้ำเสียง และ วิธีคิดของปรสิตแบบตรงไปตรงมา วิธีคิดแบบปรสิต คือวิธีคิดที่ต้องถอยห่างออกจากระบบคิดหลักของมนุษย์ และ สังคม หรือเป็นวิธีคิดแบบคนนอก ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้น่าสนใจมาก เพราะเป็นการมองมนุษย์ในเชิงล้อเลียน นำไปสู่การวิพากษ์เผ่าพันธุ์ของมนุษย์
นอกจากระบบคิดของปรสิตจะทำให้มองเห็นมนุษย์ในอีกมิติหนึ่ง ปรสิตก็ยังต้องมองหาความหมายในการ ‘มีอยู่’ ของพวกปรสิตเองด้วย หมายถึงว่าการเข้ามาของพวกมัน มันก็เข้ามาในโลกแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คือรู้ตัวต้องยึดสมอง รู้ตัวว่าต้องกินมนุษย์ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเบื้องหลัง อะไรทำไมพวกมันถึงต้องทำแบบนั้น
ดังนั้นตัวปรสิตที่อาศัยในร่างครูนั้นจึงสำคัญมากในทุกมิติของการมีอยู่ หรือที่ตัวมันบอกเองว่าเป็นการทดลองใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ให้ได้ หรือเป็นการปรับตัวให้เข้ากับระบบมนุษย์
โดยที่ตัวเองก็ยังคงตั้งคำถามถึงการมีอยู่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง หรือมันกำลังมองว่าการมีอยู่ที่ไม่รู้ซึ่งความหมาย จึงต้องใช้ปัญญาซึ่งเป็นคุณลักษณะโดดเด่นของมนุษย์ หรือหาคุณค่าของตัวเองเพื่อเหนือไปกว่าการมีอยู่ทางกายภาพ โดยการคิดหา ตั้งตำถามต่อการ “มีอยู่” ให้กลายเป็นการ “ดำรงอยู่”เพื่อค้นหาตัวตน ค้นหาที่มาของตนเอง รีวิวการ์ตูน
ความสัมพันธ์ระหว่างชินอิจิกับแม่ก็น่าสนใจตัวเรื่องพยายามสร้างปมความรัก ระหว่างแม่กับลูกมาเพื่อทำให้เห็นว่าถ้าปรสิตยึดสมองแม่แล้วนั้น เราจะกล้าลงมือฆ่าแม่ของตัวเองหรือไม่ ? ซึ่งเป็นการผูกปมที่โรคจิตดี เป็นเหมือนสถานการณ์บังคับที่ชินอิจิต้อจัดการ
การตัดสินใจของชินอิจิจะจึงมองว่าเป็นสัญลักษณ์การเติบโตของเขาได้ เพราะต่อจากนั้นตัวเขาก็สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้เห็นว่าความปรสิตนั้นได้เข้ามาซอกซอนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ตั้งแต่ในระดับสังคมไปจนถึงระดับครอบครัว ปรสิตเหมือนแบบทดสอบศีลธรรมขนาดใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่ศีลธรรมที่จะทำให้เราเป็นมนุษย์ได้มากขึ้น แต่ทำให้เรากร่อนศีลธรรมลงไปเสียมากกว่า หรือมันเสียดสีความเป็นมนุษย์ เสียดค่าความเป็นมนุษย์ในเชิงเป้าหมาย แล้วทำให้
เห็นความไร้สาระของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มากยิ่งขึ้น ปรสิตจึงเป็นเดรัจฉานที่กำลังจะเป็นบททดสอบภายในจิตสำนึกของมนุษย์เอง และ การเรียนรู้ความหมายของดำรงอยู่ของปรสิตก็อาจช่วยขยายความรู้ความเข้าใจ ในการเป็นมนุษย์ได้เหมือนกันการดำเนินเรื่องค่อนข้างจะให้อารมณ์เหมือนดูซีรีย์แนว Horror ที่เป็นคนแสดงอยู่เลย คือดูสนุก และ จริงจังไม่ค่อยรู้สึกว่าดูการ์ตูนอยู่เลย แต่ข้อเสียที่รู้สึกได้เลย (อันนี้ขอเทียบกับฉบับมังงะนะฮะ) คือ
การตัดรวบรัดรายละเอียดในหลายๆ ฉาก มากเกินไปจนรู้สึกว่าถ้าไม่เคยอ่านจากมังงะมาก่อน อาจจะมีงงๆ หรือตีความผิดไปได้แน่ๆฉากโหดๆ, ฉากฆ่า กลับทำได้ไม่รุนแรง และ น่ากลัวเท่ากับในมังงะแนวคิดหรือปรัชญาแฝง ในแบบที่มังงะต้องการนำเสนอนั้นกลับทำออกได้ไม่ถึง ดูเบาๆ ลอยๆ เหมือนแค่ให้มี บางฉากก็แลดูจะยัดเยียดคำพูดสวยๆ หรูๆ เท่ห์ๆ ผ่านตัวละครมากเกินไป
เป็นการ์ตูนที่เสียดสีสังคมได้ดีเลยทีเดียว ว่าด้วยเรื่องของคุณค่าของชีวิต การค้นหาความหมายของชีวิต สอดแทรกปรัชญามุมมองชีวิตไปกับเนื้อเรื่องในสไตล์แอ็คชั่นระทึกขวัญได้อย่างกลมกล่อม และ ไม่มากเกินไปจนกลายเป็นการ์ตูนปรัชญาชีวิต
นอกเหนือจากปรัชญาแฝงที่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่องแล้ว ยังเป็นการ์ตูนที่มีความดราม่าในบางช่วงค่อนข้างสูง, ฉากแอ็คชั่นสนุก และ ที่สำคัญฉากการฆ่าค่อนข้างโหดเลือดสาดมาก และ มีความครีเอทในการนำเสนอตัวปรสิตได้เจ๋งมากแม้ลายเส้นอาจจะดูเก่าไปสักหน่อย (ก็แหงล่ะ เขียนมาตั้งแต่ปลายยุค 80 แล้วนี่) แต่ในด้านเนื้อหา ถือว่ายังคงทันสมัยไม่ตกยุคเลย