รีวิว SOUL
เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดมากของดิสนีย์ที่นำแอนิเมชันของ Pixar อย่าง SOUL ลงสตรีมทาง Disney+ ทั้งที่เป็นโปรแกรมหนังที่หวังด้านรายได้ได้เลยแต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID 19 ที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้นการตัดสินใจดังกล่าวก็ถือว่าพอเข้าใจได้แต่กระนั้นสำหรับเมืองไทยหนังยังได้สิทธิ์ฉายโรงอยู่แต่การโปรโมตก็นับว่าน้อยมากจนกลัวหลาย ๆ คนไม่ได้ดู ผมจึงขออนุญาตป่าวประกาศความดีงามของหนังในรีวิวฉบับนี้แบบไม่มีกั๊กเลยแล้วกันนะครับ
โจ (เจมี ฟ็อกซ์) ครูสอนดนตรีต็อกต๋อยผู้รักดนตรีแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจและในวันหนึ่งที่เขาได้เข้าใกล้ความฝันด้วยการได้รับเลือกให้เป็นมือเปียโนประจำวงแจ๊สชื่อดังทว่าด้วยความโชคร้ายเขากลับประสบอุบัติเหตุไปก่อนเวลาอันควร จนวิญญาณของเขาได้ อนิเมะ
เนื้อเรื่อง รีวิว SOUL
ระเห็จไปยังหนทางสู่ปรโลกแต่เขาก็สามารถหนีโชคชะตามาได้แต่ดันไปโผล่ในดินแดนก่อนโลกและถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณพี่เลี้ยงจนได้จับคู่กับหมายเลข 22 (ทีนา เฟย์) ดวงวิญญาณอนุบาลที่ไม่อยากไปเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งสองจึงทำข้อตกลง
กันว่าหากโจสามารถทำให้หมายเลข 22 หาเป้าหมายและได้สิทธิ์ไปเกิดบนโลกโจจะได้รับสิทธิ์กลับสู่ร่างตัวเอง แล้วการผจญภัยของทั้งสองก็เริ่มขึ้น ขอสารภาพก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องที่เพิ่งเขียนไปยังไม่ได้เล่าเรื่องราวเกินกว่า 30% เลยครับเพราะอยากให้ทั้งคนไปเสพความดีงามของหนังกันในโรงด้วยตัวเองแต่เอาแค่เรื่องราวที่ผมเขียนไปกับที่เราเห็นในตัวอย่างหนังแค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า Pixar นี่ไม่เคย อนิเมะ
สิ้นไร้ไอเดียเจ๋ง ๆ จริง ๆ และลำพังแค่เรื่องการตามหาตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ของพีต ด็อกเตอร์ผู้กำกับ UP และ Inside Out ก็ทำให้เราอึ้งแล้วคราวนี้ลีลาการเล่ายังข้ามเส้นความเป็นแอนิเมชันเมนสตรีมแบบสมควรปรบมือให้ โดยประการแรกเลยคือพีต ด็อกเตอร์ที่คราวนี้ขอดันเคมป์ เพาเวอร์สมาเขียนบทและกำกับร่วมได้สร้างโลกของวิญญาณ ชีวิตก่อนและหลังความตายได้น่าสนใจมากที่สำคัญคือมันเกินจากสิ่งที่ศาสนาพร่ำบอกแค่เรื่องความดีความชั่วแต่มันตั้งคำถาม
ระดับอภิปรัชญาอย่าง เราเกิดมาทำไม? ได้ชวนคิดและคล้อยตามมากซึ่งในหนังทั่วไปโจอาจถูกปฏิบัติประหนึ่งฮีโร่ที่ล่าฝันและเอาชนะความตายกลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามเลย…แอบบอกให้นิดนึงว่าหนังให้โอกาสโจได้กลับมายังโลกจริงนะครับแต่เชื่อไหมว่าคนดูได้กลายเป็นฝั่งที่ได้เรียนรู้พร้อมกับโจ และหลายอย่างที่นำเสนอก็สั่นคลอนความเชื่อและคติเดิมในการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย ผมยังจำซีนในร้านตัดผม
เรื่องย่อ รีวิว SOUL
ได้ชัดเจนมากบทหนังให้โจไปเจอเพื่อนเก่าที่ต้องมาเป็นช่างตัดผมและคำตอบของคำถามที่ว่าคนเราชีวิตจะมีความหมายไหมถ้าเราไม่ได้ทำตามความฝันนี่มันเหนือความคาดหมายจริง ๆ และแน่นอนว่ามันส่งผลต่อการมองโลกของตัวละครทั้งสองและคนดูอย่างเราเข้าจัง ๆ
ประการต่อมาขอขยายจากข้อแรกว่าด้วยโลกหลังความตายอันนี้แม้ผิวเผินมันจะเหมือนแอบลอกการบ้านงานเก่าอย่าง Inside Out มาบ้างแต่ด้วยองค์ประกอบและการลำดับการเล่าเรื่องชั้นเซียนมันกลับทำให้เราคล้อยตามและชวนคิดมากเพราะคราวนี้
แทนที่จะสร้างทุกอย่างออกมาเป็น 3 มิติเราเริ่มเห็นการออกแบบคาแรกเตอร์ที่ดูเป็นนามธรรมมากขึ้นโดยอาศัยโครง ๆ จากศิลปะแนวแอ็บสแตร็ก (Abstract) ที่ลดทอนเหลือแค่เส้นสาย(จากภาพที่ออกมาเหมือนได้แรงบันดาลใจจากแนว Cubism ของ Picasso) ดูอนิเมะ
ซึ่งแทนที่เราจะรู้สึกว่าการออกแบบคาแรกเตอร์ที่เป็นเส้น ๆ แบบนี้ดูลวก ไม่ตั้งใจวาด มันกลับทำให้เรามองเห็นความรัดกุมของบทอันว่าด้วยโลกหลังความตายและการพูดถึงนามธรรมและสิ่งสมมติได้อย่างลึกล้ำ เอาเป็นว่าต่อให้คุณไม่เคยสนใจปรัชญาการดูหนังเรื่องนี้ก็จะทำให้ได้คุ้นเคยและไม่แปลกแยก
ส่วนใครที่เชี่ยวชาญหรือสนใจด้านปรัชญาอยู่แล้วก็จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแหละจะมีข้อเสียอยู่บ้างก็ตรงที่เรื่องราวและลีลาการเล่าเรื่องของมันอาจจะยิ่งห่างไกลจากการเป็นแอนิเมชันสำหรับเด็กออกไปทุกทีนี่แหละครับ ประการสุดท้ายนอกจากงานภาพและบทภาพยนตร์แล้ว งานเพลงของหนังก็นับว่ากล้าและท้าทายคนดูแอนิเมชันค่ายปราสาท และ โคมไฟไม่น้อยเพราะคราวนี้พีต ด็อกเตอร์เลือกใช้บริการ เทรนซ์ เรซเนอร์ และ แอตติคัส รอส จากวง Nine Inch Nails ซึ่ง
โด่งดังจากการทำเพลงให้หนัง The Social Network ของเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งคราวนี้มันก็ช่วยให้เรื่องราวของ SOUL ในส่วนที่เป็นโลกหลังความตายยิ่งลึกล้ำ และ ภาคดนตรีของพวกเขาก็เสริมส่งบรรยากาศของโลกดังกล่าวให้ยิ่งสมบูรณ์ และ เปี่ยมความหมายมากขึ้น
เอาล่ะแม้เราจะขึ้นต้นว่าเราจะอวยหนังเรื่องนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาแต่หากจะให้หาข้อเสียมันก็ยังพอเห็นได้อยู่บ้างนะครับเช่นการที่หนังเปิดประเด็นเรื่องความรักของโจไว้แต่ไม่สานต่อหรือเรื่องราวในอาชีพครูดนตรีที่เชื่อว่าถ้าพีต ด็อกเตอร์จะทำหนังสั้นอีก ซักเรื่องเกี่ยวกับโจในฐานะครูดนตรีเราก็ไม่ขัดข้องเลยแหละเพราะบอกได้เลยว่าการได้ดูเรื่องราวของครูโจแม้ช่วงสั้น ๆ ตอนต้นของหนังมันก็ “ดีต่อใจ” ไม่แพ้เรื่องราวส่วนที่เหลือเลย. ดูอนิเมะออนไลน์
Joe ผู้ไม่อยากตาย ต้องเดินทางไปยังดินแดนหลังความตาย แต่เขากลับหลุดไปที่ดินแดนก่อนโลกแทน และ ยังดันจับพลัดจับผลูถูกจับเป็นพี่เลี้ยงของดวงจิต. หมายเลข 22 (Tina Fey) ผู้ดื้อรั้นไม่อยากไปเกิด เพราะเธอไม่เห็นพอยต์ของการไปมีชีวิตอยู่บนโลก การผจญภัยเพื่อหาเป้าหมายในชีวิตของคู่ซี้คู่ใหม่จึงบังเกิดขึ้น
Soul จะมีความคล้าย Inside Out กับ Coco.ตรงที่เขาเล่าเรื่องซับซ้อนให้ย่อยง่าย และ เล่าเรื่องโลกหลังความตาย เพียงแต่ Soul อาจจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก มีปรัชญาที่แน่นเกินไปบ้าง แล้วปรัชญาบางอย่างก็อาจจะขัดกับความคิดความเชื่อ
ของคนดูบางกลุ่มไปบ้าง มันจึงทำให้ Soul อาจจะไม่ปังเท่าสองเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่มีความพยายามในการถ่ายทอดเมสเซจที่ดี และ มีข้อคิดในการใช้ชีวิตที่นำไปประยุกต์ได้ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับมันทั้งหมดเช่น ในดินแดนก่อนโลก หนังนำเสนอว่า บุคลิกภาพของคนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติ (nature) กำหนดไว้แต่แรกแล้ว ในขณะที่บางคนอาจแย้งหัวชนฝาว่า บุคลิกภาพมันเกิดขึ้นทีหลัง เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดู (nurture) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่เราคิดว่า ทุกคนควรนำไปปรับใช้กับตัวเองคือ “อย่าทำงานหรือมุ่งไปหาแต่เป้าหมาย จนละเลยการใช้ชีวิตหรือความงดงามระหว่างทาง” อย่างตัวละคร Joe เขามัวแต่คิดถึงแต่ว่าเขาจะต้องเป็นนักดนตรีแจ๊สที่ประสบความสำเร็จ และ มองว่าสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความฝันนั้นของเขา เช่น การเป็นครูสอนดนตรี หรือกระทั่งความคิดกับความฝันอื่น ๆ ของคนรอบตัวเขามันไม่สำคัญหรือไร้ค่า
เราเข้าใจ Joe ที่เขามีความเห็นต่างกับแม่เรื่องอาชีพการงาน แม่ของเขาก็เหมือนผู้ใหญ่ทั่วไปที่อยากเห็นลูกหลานมีงานประจำที่มั่นคง มีสวัสดิการ. ฯลฯ มากกว่าเป็นนักดนตรีที่เล่นตามผับตามบาร์ ซึ่งเราก็เข้าใจกับความคิดเห็นของแม่เขาเช่นกันนั่นแหละ
บางทีเราก็คิดนะ เราแค่มีความสุขกับการเขียนบล็อก เราแค่มีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก มันจำเป็นด้วยหรือว่า เราจะต้องประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรือยิ่งใหญ่ในทางทางนั้น ในเมื่อแค่เราได้ทำเราก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ แล้วถ้าเรา ต้องทำด้วยความกดดัน ความคาดหวัง หรือการแก่งแย่งชิงดีชิ่งเด่น เราจะสูญเสียห้วงเวลาแห่งความสุขในพื้นที่ที่เรารักไปหรือเปล่า รีวิวการ์ตูน
ก็จริงอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะการงานที่มั่นคง เงินทองที่เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนกับปัจจัยสี่ หรือกระทั่งความฝันที่กินไม่ได้ ล้วนมีความสำคัญกับชีวิต และ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งสิ้น แต่อะไรที่มันมากไป มันก็ไม่ดี ความหมกมุ่นกับสิ่งสิ่งหนึ่งอาจทำให้เรา
หลุดจากชีวิตจริง และ อาจทำให้เราพลาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น บ้าทำแต่งาน ติดอยู่ในกับดักของความสำเร็จที่สังคมตีกรอบ ไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา การเงิน หรือการงาน เราล้วนเคยตั้งเป้าหมายหรือพิชิต milestones ในแบบที่สังคมคิดว่าควรจะมี ควรจะเป็น เช่น เรียนให้จบปริญญาตรี มีงานทำเงินเดือนเท่านั้นเท่านั้น มีรถ มีบ้าน มีแบรนด์เนม ฯลฯ แต่พอเราพิชิตเป้าหมายนึงแล้ว เราก็มีความสุขได้แว้บนึง จากนั้นเราก็
คิดว่า “แล้วยังไงต่อ?” เราก็ต้องตั้งเป้าหมายใหม่ พิชิตใหม่ แล้วก็วนลูปอยู่อย่างนี้กระนั้นหรือ แล้วถ้าวันนึงเราเล่นเกมนี้ไปถึงเลเวล 99 หรือเลเวลสูงสุดที่มีทุกอย่างครบแล้ว “มันก็แค่นี้เองหรือ?” เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบนี้กันจริง ๆ หรือ ถ้าเราไม่ตั้งเป้าแบบนี้ ชีวิตเราจะไร้ความหมายเลยกระนั้นหรือ
Jason Solomons จาก The Wrap “มีหลายสิ่งหลายอย่างให้รู้สึกเพลิดเพลิน และ ไตร่ตรองใน Soul ไม่ใช่แค่ความโดดเด่นของตัวละครแอฟริกันอเมริกัน หรือดนตรีชั้นเยี่ยม ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยผู้ช่ำชองด้านเพลงแจ๊สอย่าง Herbie Hancock, Ray
Haynes และ Jon Batiste เท่านั้น นี่จะส่งสว่างให้กับวันคริสต์มาสของทุกคน แต่ผมก็ยังมีความผิดหวังอยู่นิดหน่อย ที่หนังอาจจะไม่ได้มีความกล้าที่จะทำให้เราเชื่อได้ทั้งหมด” Alex Godfrey จาก Empire “มีบางช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้ ช่วงเวลาที่การเล่าเรื่องดำเนินไปกับภาพของแอนิเมชั่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับคุณกำลังดำดิ่งลงไปในโลกของมัน มีสถานที่หนึ่งใน the Great Before ที่เรียกว่า the Zone
ดินแดนที่เต็มไปด้วยหน้าต่างของช่วงเวลาต่าง ๆ ที่เราสูญเสียตัวเองไปในสิ่งที่เราทำ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของ Soul ในตัวมันเอง ที่จะทำให้คุณรู้สึกคุ้นเคย”