รีวิว The Boy and the Beast
การ์ตูนอนิเมะ ถ้าจะพูดถึงแอนิเมชั่นสายพันธุ์ญี่ปุ่นอย่าง ‘Summer Wars‘ , ‘The Girl Who Leapt Through Time’, ‘Wolf Children’ คออะนิเมะตัวจริงเสียงจริงคงต้องผ่านตามาแล้วทั้งนั้น ทั้งหมดคือผลงานของผู้กำกับอะนิเมะมือดีจากญี่ปุ่น เขาคือ มาโมรุ โฮ
โซดะ (Mamoru Hosoda) ที่วันนี้ กำลังมีอีกหนึ่งผลงานที่เข้าฉายในเมืองไทยรับเทศกาลปีใหม่กันเลยแหละ โดยงานนี้ เขารับหน้าที่ทั้งกำกับทั้งเขียนบท เรื่องราวของโลกคู่ขนานและมิตรภาพต่างสายพันธุ์‘ศิษย์มหัศจรรย์กับอาจารย์พันธุ์อสูร‘ หรือในชื่อสากลอย่าง ‘The Boy and the Beast’ อีกหนึ่งผลงานที่นำเสนอเรื่องราวสิ่งที่ขาดไปและจิตใจของมนุษย์ผ่านแอนิเมชั่นแฟนตาซีที่พิถีพิถันทั้งด้านงานภาพ งานพากย์ และงานเล่าเรื่อง
เนื้อเรื่อง รีวิว The Boy and the Beast
เรื่องมันเริ่มตรงที่ว่า เด็กน้อยนาม ‘เรน’ ผู้หนีออกจากบ้านหลังกลายเป็นเด็กกำพร้า กลายเป็นเด็กมีปมที่เร่ร่อนไปทั่ว หลีกเลี่ยงการโดนจับเพราะไม่อยากกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของญาติฝ่ายแม่ เขาเฝ้าโหยหาพ่อแต่กลับได้เจอสัตว์อสูรจากอีกมิติหนึ่งแทน
ที่นั่นเหล่าสิงห์สาราสัตว์ได้กลายเป็นอสูรที่มีความสามารถพิเศษ เป็นสัตว์สองขาพูดได้และมีระบบของสัตว์สังคม เรนกลายเป็นศิษย์ของอสูรนาม “คูมะเท็ตสึ” อย่างไม่ตั้งใจ แถมยังได้ชื่อ “คิวตะ” ที่ถูกต้องขึ้นโดยอาจารย์ผู้ไม่เอาไหนของตนอีก แต่แล้ว เขากลับได้พบว่าครูของเขานั้นสอนอะไรไม่เป็นสักนิดเดียว เขาเสียอีกที่ต้องช่วยขัดเกลาความกระด้างของครูผู้นี้ให้ก้าวไปอีกขั้นพร้อมกับตัวของเขาเอง
เวลาผ่านไปเนิ่นจนเขาเติบโตขึ้น เขาได้กลับมายังมิติเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้เจอกับสาวสวย “คาเอเดะ” ผู้ซึ่งสอนให้เขาอ่านหนังสือออก มีความรู้มากมายจากครูอีกคนบนโลกอีกใบ เหมือนทุกอย่างจะเริ่มดีถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องกลับไปเพื่อช่วยอาจารย์ของเขาในศึกคับขัน ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้ชมอะนิเมะก่อนที่จะฉายจริง ในช่วงเวลาที่ผลงานจากจิบลิเริ่มจะห่างหายไป ทำให้งานจาก Mamoru Hosoda ยิ่งทวีความน่าใจขึ้นมากในสายตาผม อนิเมะออนไลน์
‘ศิษย์มหัศจรรย์ กับอาจารย์พันธุ์อสูร’ มีเหล่าซุป’ตาร์มากมายมาร่วมให้เสียงพากย์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น อาโออิ มิยาซากิ (Nana, My Mother’s Chronicle, Wolf Children), โคจิ ยากุโช (Cure, Babel, The World of Kanako), โชตะ โซเมะตานิ (Himizu, Parasyte 1-2, Bakuman), ลิลี่ แฟรงกี้ (Like Father Like Son, Our Little Sister, Bakuman), โย โออิสึมิ (Gegege no Kitaro, I am a Hero) และรวมไปถึง Suzu Hirose จากหนัง ‘Our Little Sister’ ที่เพิ่งดูไปด้วย
มันสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ที่บางครั้งการเป็นพ่อมันอาจจะไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่เป็น “พ่อจริงๆ” ก็ได้ หลายครั้งมันก็ก่อเกิดในบุคคลที่ไม่ได้เป็นอะไรกันมาก่อนแต่กลับผูกพันกันอย่างเหลือเชื่อ อาจแฝงอยู่ในความสัมพันธ์
สรุป รีวิว The Boy and the Beast
ระหว่างครูกับลูกศิษย์ ที่บางครั้งครูเองก็อาจไม่มีความสามารถมากพอจะเคี่ยวเข็ญศิษย์ได้ด้วยด้อยซึ่งประสบการณ์ แต่การมีศิษย์ก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งจะบำบัดให้ทั้งสองฝ่ายต่างได้พัฒนาตัวเองไปพร้อมๆ กัน ผกก. เลือกจะเล่าแง่มุมความเป็นมนุษย์อยู่พอสมควร แม้มนุษย์จะมีขีดจำกัดด้านพละกำลังที่ด้อยไปกว่าสัตว์ แต่สัตว์อสูรทั้งหลายต่างก็เกรงกลัวมนุษย์เพราะมนุษย์นั้นมีสิ่งที่พวกเขาไม่มี นั่นคือ ด้านมืดในจิตใจ (อาจฟังดูเหมือน Star Wars อยู่บ้าง ดูอนิเมะ
ในมุมๆ นี้) ที่หนังเลือกแสดงออกมาในรูปของรูโบ๋ นัยว่าคนที่มีปมมาก่อน ถ้าวันหนึ่งได้พบกับสิ่งกระตุ้น มันก็อาจจะออกมาอาละวาด ควบคุมจิตใจและทำลายทุกอย่างได้มากกว่าการใช้กำลังเสียอีก นอกจากนั้น หนังยังเลือกจะพูดถึงกำลังใจสำหรับคนที่เกิดมาอาจไม่มีพร้อมหรือมีข้อจำกัดอะไรบางอย่าง ว่าพวกเขาไม่ควรเลยที่จะต้องท้อแท้ ขอเพียงพยายามฝึกฝนตนให้เก่งและแกร่งขึ้น เมื่อทุกคนทำได้เช่นนั้น ความภาคภูมิมันก็จะบังเกิดเอง
ถ้าคุณเคยชมงานเก่าๆ ของโฮโซดะที่ผมว่ามาข้างต้นแล้ว คงไม่ปฏิเสธว่า งานของเขานั้นพิถีพิถันด้านงานภาพมาแต่ไหนแต่ไร และในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน ลายเส้นละเอียดและคม ภาพพื้นหลังก็สวยงาม งานที่ต้องเยอะมากอย่างในฉากสนามกีฬาก็เข้าขั้นสุดยอด แถมยังเลือกที่จะวาดผู้ชมด้วยลายเส้นอีกแบบที่แตกต่างจากตัวหลักอีกเสียด้วย
ใน ‘The Boy and the Beast’ จะมี ฉากฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ฉากต่อสู้ ซึ่งจังหวะของเขาก็ทำออกมาค่อนข้างพอดี ทำให้ผู้ชมพากันขำคิกคักตามไปได้ สนุกลุ้นไปกับการต่อสู้ของพวกเขาไปด้วยได้ เนื่องจากทาง Akibatan ได้มีโอกาสได้ไปรับชมภาพยนต์ Animation รอบสื่อ เรื่องใหม่ ศิษย์มหัศจรรย์กับอาจารย์พันธุ์อสูร (The Boy and the Beast ) (Bakemono no Ko) ที่ทาง M Pictures Co.,Ltd ได้เป็นผู้นำเข้ามาให้ได้รับชมกัน ซึ่งได้ผู้
กำกับมากความสามารถอย่าง คุณ Hosoda Mamoru ซึ่งมีผลงานเก่าๆ ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างมากเช่น Wolf Children (2012), Summer Wars (2009), The Girl Who Leapt Through Time (2006) และอื่นๆ ซึ่งบทความนี้จะเป็นการ Review ความรู้สึกบางส่วนของเรื่องหลังจากที่ทางทีมงานได้ไปรับชมในรอบสื่อไปแล้วให้ได้อ่านกัน
ในโลกของเรานั้นนอกจากมนุษย์ที่อาศัยกันอยู่ปกติแล้ว ยังมีโลกอีกโลกที่แอบซ่อนอยู่เหมือนเป็นโลกคู่ขนานกับโลกมนุษย์ ซึ่งนั่นคือ โลกที่เหล่ามนุษย์สัตว์ ที่เป็นมนุษย์แต่มีร่างกายเป็นสัตว์สายพันธ์ต่างๆอาศัยอยู่ ซึ่งในโลกนั้น จะมี ประมุข คอยควบคุม
โลกนี้อยู่ และหากประมุขของเหล่ามนุษย์สัตว์ทำการเกษียณตนเอง เพื่อไปเกิดใหม่เป็นเทพ จะทำการเลือก มนุษย์สัตว์ มาคนนึงเพื่อเป็นประมุขของโลกนี้แทน ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์ได้เข้ารับการชิงตำแหน่งประมุขใหม่นั้นก็มี Iozen ผู้มากความสามารถและ
เป็นที่เคารพของเหล่าประชาชน อีกผู้ที่มีสิทธิ์คือ Kumatetsu ผู้ที่แขร็งแกร่งและดุดัน จนผู้คนหวาดกลัวไม่มีใครกล้าเป็นศิษย์ และเมื่อ ประมุขปัจจุบัน ได้ยื่นเงื่อนไขนึงให้กับ Kumatetsu จึงเป็นการเริ่มต้นชะตากรรมที่เค้าไม่อาจเคยคาดคิดมาก่อน…
เรน (คิวตะ) เด็กน้อย มนุษย์ธรรมดา อายุเพียง 9 ขวบ ผู้หนีออกจากบ้าน และมาอาศัยอยู่คนเดียวตามถนนแถวย่านชิบุย่า โดยเรนต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ่นเพื่อที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า เค้าสามารถที่จะอยู่คนเดียวได้ แต่ตัวเค้านั้นมีรู้สึกอ้างว้างในใจโดยที่
เค้าไม่รู้ตัว ซึ่งพาให้เกิดการชักนำไปสู่โชคชะตาที่ทำให้เค้าได้พบกับ Kumatetsu การดิ้นรนในการใช้ชีวิตของ เรน ในชื่อใหม่ว่า คิวตะ จึงได้เริ่มต้นขึ้น ตัวละครสองตัวนี้เป็นตัวละครที่มีความต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่ง Kumatetsu นั้น มีความแข็งแกร่ง ดุร้าย และพลังมากมาย จากการที่เค้าเป็นมนุษย์สัตว์สายพันธ์หมี ทำให้เค้าสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างรุนแรง แต่คิวตะ เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ต้องมา ดูอนิเมะออนไลน์
แสวงหาความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่ไม่อาจจะสู้พลังของ Kumatetsu ได้ แต่สิ่งที่เค้ามีคือไหวพริบ ซึ่งทำให้เค้าสามารถมองเห็นหนทางในความแข็งแกร่งของตัวเอง ทำให้การพบกันของทั้งคู่จากความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว กลับค่อยๆกลายมองเห็นสิ่งที่ตนเองมี และ สิ่งที่ตนเองขาดไป เพราะฉนั้นแล้วการพัฒนาการของคิวตะ และ ความเปลี่ยนแปลงของ Kumatetsu จึงเป็นจุดที่น่าสนใจและน่าติดตาม
สำหรับคิวตะผู้สูญเสียสิ่งสำหรับภายในครอบครัว และ Kumatetsu ผู้ไม่มีครอบครัวอยู่เลย ทำให้คิวตะได้มองเห็น Kumatetsu เหมือนกับตัวเอง ถึงแม้ว่าคิวตะจะรู้สึกถึงความอ้างว้างภายในจิตใจของเค้า แต่การพบเจอของทั้งคู่ทำให้เกิดสิ่ง ใหม่ๆให้กับทั้งคู่ และทำให้หนังเรื่องนี้ได้มอบความหมายดี ๆ กับคำว่า “ครอบครัว” ซึ่งเหมาะกับวันฉายในประเทศไทยซึ่งตรงช่วงวัน Christmas ซึ่งเป็นฃ่วงเทศกาลที่หลาย ๆ คนจะได้อยู่ฉลองกับครอบครัว
สิ่งที่หนังต้องการแสดงสื่อถึงออกมาอีกอย่างคือเรื่องของความรู้สึก ซึ่ง คิวตะ นั้นหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็กและได้พบเจอกับมนุษย์สัตว์อย่าง Kumatetsu ทำให้เค้าเริ่มแยกแยะไม่ออกว่า ตัวเค้านั้นเป็น มนุษย์ หรือว่า สัตว์อสูร กันแน่ ซึ่งตัวละครที่มี
บทบาทในความรู้สึกของคิวตะและให้ความรู้สึกในใจของมนุษย์ธรรมดาออกมา อย่าง คาเอเดะ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ด้วย และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับกฎบางอย่างของโลกของมนุษย์สัตว์ ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยทำให้เราได้รับข้อคิดดี ๆ จากเรื่องของจิตใจ และได้รับรู้ว่า ทุก ๆ คนก็มีปัญหาของตัวเองอีกด้วย รีวิวการ์ตูน