รีวิว The Seven Deadly Sins
ยามที่บ้านเมืองทุกวันนี้ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละออง PM2.5 จนมองเห็นเป็นหมอกขาวไปทั่ว ชวนให้นึกถึงหนังเมื่อปี 2007 เรื่องของหมอกปริศนาที่ย่างกลายเข้ากลืนกินเมืองมนุษย์ จนผู้รอดชีวิตต้องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The Mist หรือชื่อไทย “หมอกมรณะ” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนังที่มีตอนจบที่หักมุมและสะเทือนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาล แต่รู้กันหรือไม่ว่า The Mist นั้นมีตอนจบอีกแบบที่ต่างจากที่เห็นกันบทสรุปกันในฉบับภาพยนตร์? การ์ตูนnetflix
หนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีของนักเขียนชื่อดังอย่าง Stephen King เกือบทุกเรื่องมักจะถูกดัดแปลงเนื้อหาให้แตกต่างไปจากฉบับนิยาย ซึ่งสำหรับในหนังบางเรื่องถ้าได้อ่านทั้งจากหนังสือและได้ชมภาพยนตร์ แฟน ๆ ก็จะเห็นด้วยว่า การดัดแปลงออกมาเป็นภาพตามหนังสือนั้นเป็นไปได้ยาก (บางเรื่องเต็มไปด้วยฉากสะเทือนอารมณ์) อย่างไรก็ตาม สำหรับ The Mist หนังที่เดินเรื่องเกือบตลอดทั้งเรื่องอย่างซื่อตรงต่อฉบับนวนิยาย จะมียกเว้นแค่ตอนจบที่ต่างไปจากหนังสือที่ถึงแม้จะโหดร้ายอยู่เหมือนกัน แต่ยังดูมีความหวังมากกว่าฉบับหนังที่ออกฉายเยอะ
Stephen King ไม่ได้เขียนภาคต่อของนิยายเล่มนี้ เราจึงไม่รู้ว่าเดวิดและผู้รอดชีวิตเดินทางไปถึงเมืองที่ว่าอย่างปลอดภัยหรือจะมีเมืองนั้นอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ยังจบได้อย่างไม่สิ้นหวังและหดหู่เท่า (ซึ่งถึงจะเศร้าก็อาจจะดีกว่าที่ไม่ต้องค้างคาใจ)
The Mist เขียนบทและกำกับโดย Frank Darabont ผู้กำกับที่ทำหนังจากหนังสือของ Stephen King มากที่สุด ทั้ง The Shawshank Redemption (1994) หนังที่ประสบความล้มเหลวตอนออกฉาย แต่มีผู้ชมให้คะแนนความนิยมสูงที่สุดเรื่องหนึ่งในภายหลังจนหนังกลายเป็นหนังคลาสสิก (กับการหักมุมตอนจบ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังถูกยกย่อง) และ The Green Mile (1999) ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นหนังที่สร้างจากหนังสือของ King ในจำนวนทั้งหมดที่ไม่ใช่แนวสยองขวัญ เป็นที่น่าเสียดายที่นับตั้งแต่ The Mist เขาก็ยังไม่ได้มีผลงานกำกับหนังออกมาอีกเลย โดยไปเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบทของอีกซีรีส์สุดฮิต The Walking Dead (2010-2020) ตลอด 10 ปีมานี้ เว็บดูอนิเมะ
รีวิว The Seven Deadly Sins
เชื่อว่า The Mist ฉบับหนังทำให้หลายคนพูดไม่ออกกับตอนจบของมันก็ จำได้ว่าผมนั่งอึ้งอยู่ในโรงไปพักหนึ่ง แต่ก็พูดได้เต็มปากครับว่ามันเป็นหนึ่งในหนังที่ดัดแปลงจากนิยายของ Stephen King ได้อย่างดีมากๆ เรื่องหนึ่ง
แล้ว 10 ปีก็ผ่านไป ตอนนี้มีคนอาจหาญดัดแปลงมาเป็นซีรี่ส์ ปีแรกความยาว 10 ตอน (ก็ไม่รู้ว่าจะมีอนาคตแค่ไหนสำหรับปีต่อไป) เอาเป็นว่าถ้าดูเฉพาะปีแรก ก็ถือว่าไม่มีอะไรโดดเด่น คือมันดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ความน่าติดตามยังไม่มากเท่าไร
พอดูซีรี่ส์จบ มันทำให้รู้สึกว่าความยาวแค่สองชั่วโมงในฉบับหนังนั้นมันเป็นอะไรที่พอดีแล้วน่ะครับ มันพอเหมาะกับเรื่องราว ปมและความสยองต่างๆ มันชวนติดตามไปจนจบ แบบไม่ต้องเยิ่นเยื้อยืดเยื้ออะไร
เคล็ดลับอย่างหนึ่งของหนังที่เข้าท่าก็คือ ทำมันออกมาให้ยาวพอเหมาะกับเรื่องที่เล่า บางเรื่องถ้ามันต้องยาวก็เล่ายาวเพื่อให้มันครบ แต่กับบางเรื่องถ้ามันไม่ได้มีอะไรให้เล่ามากมายก็เล่าแค่พอดี เพราะหากเล่ายาวเกินความน่าสนใจก็จะลดลง (เหมือนบุญชูที่พอเล่ายาวทีไร เพื่อนหนีทุกที)
การได้ดูฉบับซีรี่ส์มันทำให้เข้าใจเลยน่ะครับ ว่าการหาประเด็นมาเล่นเพื่อยืดเรื่องให้เป็นซีรี่ส์นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหลักๆ มันก็จะเป็นเรื่องของคนที่มาอยู่รวมกันในสถานที่ปิดตาย แล้วสักพักก็จะเริ่มมีปัญหากัน อันนำมาสู่ปมประมาณว่า “ปีศาจในหมอกกับปีศาจในคน”
ประเด็นนีี้ถ้าเล่นสักครั้งสองครั้งมันก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าวนเวียนเล่นซ้ำเป็นสิบตอน มันก็จะทำให้ซีรี่ส์ลดความน่าสนใจลงเรื่อยๆ เพราะแกนหลักอย่างหนึ่งของประเด็นนี้ก็คิือ ตัวละครมักจะงี่เง่าครับ มักจะคิดบ้าคิดบอ คิดมโนจนเกิดเรื่อง (ทั้งที่บางทีเรื่องมันไม่มีอะไร แต่มันไปกันใหญ่ก็เพราะคนงี่เง่านี่แหละ)
และธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเราก็คือ ไม่ชอบหรอกครับที่จะไปดูนั่งคนงี่เง่า บางทีมันก็รำคาญและชวนให้หงุดหงิด ซึ่งก็ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของซีรี่ส์นี้เลย คือมาเน้นจุดนี้มากเกินไป แทนที่จะเน้นอย่างอื่นหรือสำรวจจุดอื่นที่หนังยังไม่เคยเล่น
ตัวอย่างเช่นปมปริศนาน่ะครับ ถ้าหนังมีการสำรวจเกี่ยวกับหมอกมากขึ้น, เกี่ยวกับปีศาจหรือที่มาของมันมากขึ้น หรือไม่ก็ทำให้ฤทธิ์ของปีศาจในหมอกมันพิสดารขึ้น ซีรี่ส์ก็คงมีอะไรให้ติดตามมากขึ้นอีกเยอะน่ะครับ
และประเด็นคือในฉบับซีรี่ส์นี่เหมือนตัวละครจะยังพอสามารถเดินฝ่าหมอกไปที่นั่นที่นี่ได้ จริงๆ ถ้าหนังคิดใหม่เพิ่มใหม่ลงไปบ้าง เช่น เพิ่มฉากผจญภัยในหมอก ความน่าสนใจก็คงไหลมา และน่าจะมีอะไรให้ลุ้นเพิ่มขึนอีกด้วย ดูอนิเมะ
แต่กับ The Mist ฉบับนี้่เหมือนอยู่ในน้ำนิ่งที่ปกคลุมด้วยหมอกน่ะครับ ดูมันไปไม่ถึงไหนเลย ยิ่งการที่ตัวละครดูจริงจังมาก เครียดมาก เครียดจนน่าอึดอัด และยิ่งมาเจอกับความงี่เง่าบางอย่างก็ทำให้ผมหยุดดูอยู่เหมือนกันนะ เพราะมันรู้สึกว่าเรื่องไม่ไปไหน คนยังมายังงี้อีก แอบเหนื่อยน่ะครับ
แต่ถ้าถามว่าผมชอบอะไรที่สุดนะ ผมว่าผมชอบ Opening Title ของซีรี่ส์ครับ ที่เป็นภาพคนเดินในเมืองที่มีหมอก แค่ไม่กี่วินาทีนั่นแหละ ผมว่าสวยดีึครับ และจริงๆ ถ้าหนังกล้าเล่นแบบคิดใหม่ทำใหม่ ให้หมอกมันเปลี่ยนรูปแบบ คือไม่ต้องคลุมเมืองก็ได้ จะให้คลุมเป็นหย่อมๆ หรือเคลื่อนที่แบบมีชีวิต หรือให้มันเป็นหมอกจางๆ มาก่อนที่หมอกจะมาเต็ม ฯลฯ มันยังมีที่ให้ไปอีกเยอะน่ะครับ ถ้าจะไปน่ะนะ
เอาเป็นว่าผมเคยหวังนิดๆ ตอนประกาศว่าจะสร้างนะ แต่พอเห็นตัวอย่างความคาดหวังเหลือศูนย์เลย ครั้นพอมาดูก็ไม่ต่างจากที่คิด แต่ก็ยอมรับว่าหลายฉากก็สยองแหวะดีเหมือนกัน… ถ้ามีซีซั่นหน้า ก็หวังว่าจะมีการปรับทิศทางให้น่าสนใจขึ้นน่ะนะครับ คือมันต้องมีอะไรที่มากกว่าแค่ “หมอกล้อมรอบ แล้วคนก็มาระแวงใส่กัน” แล้วล่ะ
รีวิวอนิเมะ ศึกตำนาน 7 อัศวิน
ในยามเบื่อหลายคนอาจจะดูหนังดูการ์ตูนหรือไม่ว่าจะเล่นเกมก็แล้วแต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแก้เบื่อได้ วันนี้ผมเลยมีอนิเมะมาแนะนำเพื่อน ๆ นะครับหลายคนอาจจะรู้จักกับเรื่อง 7 อัศวิน หรือ The Seven Deadly Sins แล้วแต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่เคยดู ส่วนตัวผมก็ชอบเรื่องนี้มากเลยหยิบเอามารีวิวและแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและไปหาดูกันรับรองว่าไม่ผิดหวังที่ได้เปิดเข้าไปดู สนุกตั้งแต่ตอนแรกแน่นอนต่อจากนั้นก็ดูยาว ๆ เลย The Seven Deadly Sins เป็นอนิเมะทีได้รับความนิยมสุด ๆ ในไทยเพราะว่าของเขาดีจริง The Seven Deadly Sins เป็นผลงานของ ซุซูกิ นากาบะ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ผลงานเรื่องนี้นี้ของเขาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมาก ๆ ทั้งฉบับมังงะ และอนิเมะ
7 อัศวิน หรือ The Seven Deadly Sins หรืออีกชื่อที่คนไทยเรียกกันง่าย ๆ ว่า 7 บาป จุดเด่นของเรื่องคงจะอยู่ที่ตัวละครทั้ง 7 คนนี้แหละครับเพราะแต่ละตัวละครจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปหลายอารมณ์และก็มีความสามารถแตกต่างกันออกกันไปด้วย จึงให้ทำอนิเมะเรื่องนี้นั้นสนุกและเป็นที่นิยมมากตัวเอกทั้งเก่งทั้งเท่ และมีตัวละครสาวสวยมากมายจะไม่ให้ติดตามอนิเมะเรื่องนี้ได้ไงจริงไหม บทความนี้ก็ขอไม่เจาะลึกถึงตัวละครแต่ล่ะตัวนะครับเดียวจะออกสปอยเกินไปทำให้ดูไม่สนุกหรือไม่อยากดูกันไปก่อน อิอิ
ศึกตำนาน 7 อัศวินเรื่องภาพไม่ต้องพูดถึงสวยงามตามท้องเรื่องอนิเมะทั่วไป แต่เนื้อหารับรองไม่ควรพลาดจริง ลึก ๆ อนิเมะเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ความสนุกอย่างเดียว ยังเกี่ยวของกับศาสนาอีกด้วย สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูก็ต้องหาดูกันหน่อยแล้วหละครับ ใครที่อยากดู The Seven Deadly Sins ก็หาดูได้แบบถูกลิขสิทธิ์ได้หลายช่องทางทั้ง TrueID หรือว่าจะ Netflix
Nanatsu no Taizai ศึกตำนาน 7 อัศวินและนี่ก็เป็นอีก 1 อนิเมะน้ำดีเรื่องเยี่ยมในใจใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้ ใครที่ชื่นชอบอนิเมะแนว แอ็คชั่น ผจญภัย เนื้อเรื่องดีลายเส้นสวย ต้องขอบอกเลยว่าคุณไม่ควรพลาด Nanatsu no Taizai ด้วยประกาศทั้งปวง
Nanatsu no Taizai ศึกตำนาน 7 อัศวิน เป็นอนิเมะที่กล่าวถึงกลุ่มอัศวินทั้ง 7 ที่ถูกกล่าวหาว่าจะยึดครองอนาจักร เนื่องด้วยการตายของเหล่าอัศวินศักสิทธิ์มากมาย และในที่เกิดเหตุก็มีเพียงกลุ่มของเหล่า 7 อัศวิน จนทำให้พวกเค้าทั้ง 7 คนต้องหนีกันไปคนละทิศละทาง จนเวลาผ่านไปเนินนาน ก็ได้มีหญิงสาวคนนึงออกตามหาเหล่าอัศวินทั้ง 7 เพราะทั่วทั้งอนาจักรเต็มไปด้วยความกดขี่ และความอยุติธรรม จนวันนึงเธอก็ได้พบกับ 1 ใน 7 อัศวินในตำนานที่หายสาบสูญไป พวกเค้าจึงร่วมเดินทางเพื่อตามหาพวกพ้องที่เหลือ และต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง และเรื่องราวมากมายที่กำลังจะเกิดใน Nanatsu no Taizai ศึกตำนาน 7 อัศวิน
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในอนิเมะที่น่าติดตามชมมากๆ เนื้อเรื่องที่สนุกชวนให้ติดตาม ฉากการต่อสู้ที่อลังการ เราจะได้เห็นถึงความรัก และความเคารพในพวกพ้องที่ไม่ทอดทิ้งกัน และฉากฮาๆอีกมากมาย หรือจะดราม่าเรียกน้ำตาก็มี