รีวิว ผจญภัยดอรี่ขี้ลืม
เรื่องย่อ : ปลาบลูแทงค์ขี้ลืมขวัญใจของทุกคนกลับมาอีกครั้ง ดอรี่ (ให้เสียงโดย เอเลน ดีเจเนอเรส) ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในประการังกับนีโม (ให้เสียงโดย เฮย์เดน โรเลนซ์) และมาร์ลิน (ให้เสียงโดย อัลเบิร์ต บรูคส์) แต่อยู่ดีๆดอรี่ก็จำได้ว่าเธอมีครอบครัวที่อาจจะตามหาเธออยู่ที่ไหนซักแห่ง การผจญภัยเปลี่ยนชีวิตของทั้งสามจึงเริ่มขึ้น จากการเดินทางข้ามมหาสมุทรไปสู่สถาบันวิจัยทางทะเล ศูนย์พักฟื้นและอควาเรี่ยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแคลิฟอร์เนีย
ในการพยายามตามหาแม่ (ให้เสียงโดย ไดแอน คีตัน) และพ่อ (ให้เสียงโดย ยูจีน เลวี่)ของเธอ ดอรี่ได้รับการช่วยเหลือจาก 3 ผู้อยู่อาศัยสุดป่วนของสถาบันวัจัยฯซึ่งได้แก่ แฮงค์ (ให้เสียงโดย เอ็ด โอ’นีล) ปลาหมึกขี้หงุดหงิดที่ชอบแกล้งเหล่าพนักงานให้ลื่นล้ม, เบลี่ย์ (ให้เสียงโดย ไทร์ เบอร์เรล) วาฬเบลูก้า ที่คิดว่าทักษะในการหาตำแหน่งด้วยเสียงเอคโค่ของเขาไม่ทำงาน และเดสทินี่ (ให้เสียงโดย เคทลิน โอลสัน) ฉลามวาฬสายตาสั้น จากการตะลอนผจญภัยในสถาบันวิจัยอันซับซ้อน ทำให้ดอรี่และผองเพื่อนได้ค้นพบความมหัศจรรย์ภายในข้อบกพร่อง, มิตรภาพ, และความเป็นครอบครัวของพวกเขา การ์ตูนดิสนีย์
บทวิจารณ์ : ต้องบอกก่อนเลยว่าเราเกือบจะพลาดหนังดีประจำเดือนไปซะแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ดูจนได้ Finding Dory นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ ขนาดเราเป็นวัยทำงานแล้วก็ยังรู้สึกประทับใจกับตัวหนังเรื่องนี้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ ที่สร้างหนังดีๆ แบบนี้ออกมา แรกเริ่มเดิมทีเราว่าหนังเรื่องนี้น่าจะทำออกมาให้เด็กดู เพราะเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมีเรื่อง Finding Nemo ออกมาจนเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ แต่ตัวละครที่ชื่อว่า ดอรี่ (Dory) นั้นไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญเท่าไหร่ แถมยังมีบุคลิกที่น่ารำคาญอีกด้วย แต่หนังภาคนี้กลับทำออกมาได้ดี และเปลี่ยนทัศนคติของเราไปเลยทีเดียว เพราะตอนที่นีโมกับมาร์ลีนมีปัญหา พวกเขาก็แก้ปัญหาด้วยวิธีแบบดอรี่ จนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ชื่อหนังเรื่องนี้ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าดอรี่นี่ขี้ลืมเอามากๆ แต่ก็เป็นปลาที่มีความพยายาม เหมือนกับคนที่มีไฟในชีวิต ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่สมบูรณ์และมีอุปสรรค แต่ก็ไม่ย่อท้อที่จะแก้ปัญหา ดอรี่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาหาพ่อแม่จนเจอ ถึงแม้ว่าใครหลายคนอาจจะบอกว่าชีวิตจริงมันไม่ได้มีตอนจบสวยหรูแบบในการ์ตูนหรอกนะ แต่ถ้าคุณไม่เริ่มลมมือทำ แล้วเมื่อไหร่ความสำเร็จจะมาถึง เหมือนคำที่เหล่า Startup รุ่นใหม่ชอบให้กำลังใจกันว่า
“ถ้าคุณเริ่มทำอะไรตอนที่ยังไม่พร้อม โอกาสสำเร็จมี 50% แต่ถ้าคุณไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง โอกาสสำเร็จจะกลายเป็น 0%”
ต้องบอกก่อนเลยว่าเราเกือบจะพลาดหนังดีประจำเดือนไปซะแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ดูจนได้ Finding Dory นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ ขนาดเราเป็นวัยทำงานแล้วก็ยังรู้สึกประทับใจกับตัวหนังเรื่องนี้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ ที่สร้างหนังดีๆ แบบนี้ออกมา แรกเริ่มเดิมทีเราว่าหนังเรื่องนี้น่าจะทำออกมาให้เด็กดู เพราะเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมีเรื่อง Finding Nemo ออกมาจนเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ แต่ตัวละครที่ชื่อว่า ดอรี่ (Dory) นั้นไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญเท่าไหร่ แถมยังมีบุคลิกที่น่ารำคาญอีกด้วย แต่หนังภาคนี้กลับทำออกมาได้ดี และเปลี่ยนทัศนคติของเราไปเลยทีเดียว เพราะตอนที่นีโมกับมาร์ลีนมีปัญหา พวกเขาก็แก้ปัญหาด้วยวิธีแบบดอรี่ จนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
รีวิว ผจญภัยดอรี่ขี้ลืม
ชื่อหนังเรื่องนี้ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าดอรี่นี่ขี้ลืมเอามากๆ แต่ก็เป็นปลาที่มีความพยายาม เหมือนกับคนที่มีไฟในชีวิต ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่สมบูรณ์และมีอุปสรรค แต่ก็ไม่ย่อท้อที่จะแก้ปัญหา ดอรี่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาหาพ่อแม่จนเจอ ถึงแม้ว่าใครหลายคนอาจจะบอกว่าชีวิตจริงมันไม่ได้มีตอนจบสวยหรูแบบในการ์ตูนหรอกนะ แต่ถ้าคุณไม่เริ่มลมมือทำ แล้วเมื่อไหร่ความสำเร็จจะมาถึง เหมือนคำที่เหล่า Startup รุ่นใหม่ชอบให้กำลังใจกันว่า
“ถ้าคุณเริ่มทำอะไรตอนที่ยังไม่พร้อม โอกาสสำเร็จมี 50% แต่ถ้าคุณไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง โอกาสสำเร็จจะกลายเป็น 0%”
หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมา ซึ่งดอรี่ก็ตอกย้ำว่าเธอพยายามตามหา และถามข้อมูลจากปลาทุกตัวที่เธอรู้จักและได้พบเจอ จนในที่สุดก็ได้ข้อมูล และออกเดินทางตามหาพ่อแม่ ดอรี่เรียนรู้ตลอดเวลา และเธอก็มีความกล้าอย่างไม่น่าเชื่อ เรามั่นใจว่าถ้าใครกำลังท้อแท้กับเรื่องอะไรอยู่ก็ตามแล้วได้มาดูหนังเรื่องนี้ น่าจะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ ในส่วนของกราฟฟิกมีอไม่ได้ตกลงไป เพียงแต่ไม่ค่อยเห็นเทคนิคอะไรใหม่ๆ เท่าใดนัก ข้อดีอีกอย่างที่พบคือภาพคมชัดมากขึ้น และสีดูละมุนตามากกว่าเดิม โดยส่วนตัวชอบเพลงที่ใช้ประกอบระหว่างเดินเรื่อง เสียงเพลงคลอในระดับที่กำลังดี และช่วยทำให้เรื่องดูน่าติดตามมากขึ้น ตอนนี้หนังยังไม่ออกจากโรง ใครสนใจลองไปดูได้เลย รับรองไม่เสียดายเงินแน่นอน
สรุป : Finding Dory ภาพยนตร์การ์ตูนที่ให้แง่คิดกับผู้ใหญ่ และให้ความสนุกสนานแก่เด็กเรื่องนี้ ควรแค่แก่การเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายอยากจะบอกทุกคนว่า “ถ้าเราไม่สิ้นหวัง หนทางข้างหน้าก็ยังมี” เราเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์ก็ยังต้องขึ้น ก็เหมือนกับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกคน และอย่าลืมว่าลอง “คิดแบบดอรี่” ดูสักที แล้วคุณจะสู้ต่อไปได้อีกไกล
เรื่องย่อหนัง ‘Finding Dory’
ดำดิ่งสู่ใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นการเดินทางและผจญภัยของปลาอีกตัวที่เคยช่วยมาร์ลิน (Albert Brooks) ออกตามหาลูกชายอย่างนีโม (Hayden Rolence) จนเจอ ปลาตัวนี้เป็นปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า มันมีชื่อว่า ดอรี่ (Ellen DeGeneres) แต่ความที่มันเป็นโรคความจำสั้นตั้งแต่เกิด มันค่อยๆ ลืมเลือนพ่อแม่ของมันไปจนวันหนึ่ง มันก็นึกขึ้นมาได้สัตว์ทุกตัวต้องมีพ่อแม่ แล้วมันก็เริ่มที่จะเดินทางค้นหาพ่อแม่ของตัวเองโดยอาศัยเศษชิ้นส่วนของความจำเท่าที่มีและที่สำคัญก็คือเพื่อนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ในวันที่ดอรี่จับพลัดจับผลูไปอยู่ในสถาบันชีวิตสัตว์น้ำ (Marine Life Institute) เข้าได้ไปเจอกับเจ้าปลาหมึกหยักษ์สีแดงที่กลายเป็นผู้ช่วยตัวสำคัญสำหรับภารกิจตามหาครอบครัวของดอรี่ครั้งนี้
นอกจากนั้น ยังมีตัวละครอีกหลายๆ ตัวที่เพิ่มเติมเข้ามาในภาคนี้ และทำให้มันเป็นแอนิเมชั่นที่สานต่อความสำเร็จจากภาคแรกเมื่อ 13 ปีก่อนได้อย่างสมภาคภูมิ
รีวิวหนัง ‘ผจญภัยดอรี่ขี้ลืม’
คือหนังแอนิเมชั่นที่ตอบสนองได้ทั้งครอบครัวจริงๆ ‘Finding Dory’ ธีมครอบครัวโชยมาแต่ไกล ผสมเข้ากับสไตล์หนังผจญภัย และซึ่งดราม่าครบรส ที่ งานนี้ Disney Pixar เขาจัดให้
หากจะพูดเรื่องคุณภาพของการสร้างงาน Pixar ขึ้นชื่ออยู่แล้วในด้านภาพสวย เคลื่อนไหวเนียนดูเป็นธรรมชาติ งานนี้ก็เช่นกัน นวลเนียนมาตั้งแต่แอนิเมชั่นขนาดสั้น ‘Piper’
มันเป็นหนังสั้นที่สะกดจิตใจมาก ภาพสวยเนียน แถมยังมีเนื้อหาที่ทั้งน่ารักและกินใจอีกต่างหาก มันเป็นเรื่องของลูกนกตัวหนึ่งที่โตขึ้นถึงวันออกจากรัง หัดบิน หัดอาหารเอง แต่วันแรกที่ต้องทำสิ่งใหม่ อะไรๆ ก็ย่อมเสมอ
การผจญภัยของดอรี่ขี้ลืมที่อาจจะดูเนือยๆ อยู่บ้างในช่วงแรก อาจรู้สึกว่าหนังมันจะไปทางสนุกได้ไหมในเวลานั้น แต่หนังก็พยายามที่จะอธิบายอะไรๆ ให้ง่ายต่อการที่เด็กจะเข้าใจ ด้วยการเล่าสลับกันไประหว่างชีวิตวัยเด็กและวัยปัจจุบันของ Dory ที่มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาตัดสินใจในสิ่งต่างๆ เพื่อตามหาพ่อกับแม่ให้พบ
แต่เมื่อเวลามันผ่านไปๆ หนังแปรเปลี่ยนมาเล่นเส้นเรื่องของการผจญภัยที่สนุกขึ้น มีตัวละครหลากหลายตัวมาร่วมสร้างสีสันมากขึ้น ทั้งทีตัวที่น่ารักแบบกวนๆ ตัวที่เพี้ยนๆ ตัวที่ขี้หวุดหงิดแต่จริงๆ ก็จิตใจดี ยิ่งเวลาผ่าน หนังยิ่งทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ มิตรภาพระหว่างทาง และการมองโลกแง่ดี ทำให้หนังมีความน่ารักและอบอุ่นตลอดเวลา
รีวิวการ์ตูน Finding Dory
หลังจากรอคอยมานาน ตั้งแต่ปี 2003 กับการผจญภัยใต้ท้องทะเลกว้างของปลาน้อย นีโม่ (Nemo) พร้อมเหล่าเพื่อนปลาน้อยใหญ่ ในภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์อย่าง “Finding Nemo“
ในปี 2016 ที่กำลังจะถึงนี้ พิกซาร์ ร่วมกับ ดิสนีย์ เตรียมนำการผจญภัยที่ทุกคนคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง โดยมีปลาขี้ลืมเพื่อนซี้นีโม่อย่าง ดอรี่ (Dory) จอมพูดมาก มารับบทตัวเอกให้ทุกคนได้หลงรักกันบ้าง ในการผจญภัยครั้งใหม่ เพื่อร่วมตามหาครอบครัวที่หลงลืมไปของดอรี่ ซึ่งครั้งนี้ยังคงก็ได้ “แอนดรู สแตนตัน” ผู้กำกับคนเดิมจากนีโม่ มาถ่ายทอดเรื่องราวมิตรภาพและความหมายของคำว่า “ครอบครัว” ให้ทุกคนซาบซึ้งอบอุ่นหัวใจภายใต้ผืนน้ำแห่งชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย
ห่างหายกับหนังแอนิเมชันไปนาน ล่าสุดที่ไปดูมาก็ Zootopia ตั้งแต่เดือนกุมภาแล้ว กลับมารอบนี้ก็เป็นหนังของ Disney เหมือนเดิม (จริงๆ อยากพูดว่า Pixar มากกว่า แต่เค้าซื้อไปแล้วทำไงได้ ฮือๆ) แถมยังเป็นภาคต่อของแอนิเมชันในตำนานตั้งแต่ปี 2003 Finding Nemo สิริรวมแล้วสร้างห่างกันถึง 13 ปี!!! แต่ทางผู้กำกับออกมาบอกว่าเนื้อเรื่องในหนังจะผ่านไปแค่ 3 เดือนหลังจากที่มาร์ลินและดอรี่ไปผจญภัยตามหานีโม่ สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ ดอรี่ เจ้าปลาบลูแทงก์ขี้ลืมจะเป็นตัวเอกของเรื่อง พาเราไปผจญภัยตามหาครอบครัว ความหลังที่เคยเลือนหายไป แต่หัวใจเรียกร้องให้จำได้อีกครั้ง
ปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบปลา แต่ชอบกินปลา (งงดิ) ก็เลยรู้สึกว่าปลาในเรื่องมันไม่ค่อยน่ารัก 555 ข้ามไปดีกว่า ว่ากันที่เนื้อเรื่องกันเลย จุดเด่นของหนัง Pixar ทุกเรื่องก็คือเนื้อเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้จะเน้นไปที่ประเด็น ครอบครัว ความรักความผูกพันเป็นสายใยผูกรั้งความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้ไม่ขาดออกจากกัน แม้วันนึงอาจจะลืมหายไป แต่มันจะไม่หายไปตลอดกาล (ทำไมต้องคม) แน่นอนว่าของเค้าดีอีกแล้วครับท่าน ผู้กำกับเค้าคัดสรรและคั้นประเด็นนี้เต็มที่จนได้น้ำผลไม้เลิศรส ลากไปตั้งแต่ครอบครัวจริงๆ แบบพ่อแม่ลูก ครอบครัวแบบเพื่อนทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถ่ายทอดออกมาแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนทางคำพูดของตัวละคร แต่ก็มีการใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดการเล่าเรื่อง เพื่อปูทางไปให้ถึงจุคพีคในตอนท้ายของหนัง
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือประเด็น อยากอยู่คนเดียว อันนี้ก็น่าสนใจดี มีการเสียดสีสังคมในปัจจุบันแบบนิดๆ ซึ่งประเด็นนี้รับบทนำโดยเจ้าหมึกที่เคยมีแปดหนวด แฮงก์ แต่ประเด็นนี้เค้าไม่ค่อยขยี้อะไรมากมาย เรื่อยๆ ไปตามเนื้อเรื่อง แล้วก็มาสรุปจบในตอนท้ายของเรื่องอย่างเดียว เลยไม่ค่อยอินมากแต่ก็ยังดีอยู่ สำหรับวิธีการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้จะใช้วิธี ตัดสลับไปสลับมาระหว่างเรื่องปัจจุบันและเรื่องในอดีตของดอรี่ ไขปริศนานึงได้ก็ตัดไปทีนึง เหมือนหนังสืบสวนดี 55 วิธีนี้ก็เลยทำให้การปะติดปะต่อเรื่องเพื่อลากมาให้ถึงจุดพีคมันดียิ่งขึ้นไปอีก ตอนถึงจุดพีคนี่ผมรู้สึกเลยว่า เฮ้ยเจ๋งหวะ หลอกผมด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ตลอดทั้งเรื่อง
หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมา ซึ่งดอรี่ก็ตอกย้ำว่าเธอพยายามตามหา และถามข้อมูลจากปลาทุกตัวที่เธอรู้จักและได้พบเจอ จนในที่สุดก็ได้ข้อมูล และออกเดินทางตามหาพ่อแม่ ดอรี่เรียนรู้ตลอดเวลา และเธอก็มีความกล้าอย่างไม่น่าเชื่อ เรามั่นใจว่าถ้าใครกำลังท้อแท้กับเรื่องอะไรอยู่ก็ตามแล้วได้มาดูหนังเรื่องนี้ น่าจะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ ในส่วนของกราฟฟิกมีอไม่ได้ตกลงไป เพียงแต่ไม่ค่อยเห็นเทคนิคอะไรใหม่ๆ เท่าใดนัก ข้อดีอีกอย่างที่พบคือภาพคมชัดมากขึ้น และสีดูละมุนตามากกว่าเดิม โดยส่วนตัวชอบเพลงที่ใช้ประกอบระหว่างเดินเรื่อง เสียงเพลงคลอในระดับที่กำลังดี และช่วยทำให้เรื่องดูน่าติดตามมากขึ้น ตอนนี้หนังยังไม่ออกจากโรง ใครสนใจลองไปดูได้เลย รับรองไม่เสียดายเงินแน่นอน
สรุป : Finding Dory ภาพยนตร์การ์ตูนที่ให้แง่คิดกับผู้ใหญ่ และให้ความสนุกสนานแก่เด็กเรื่องนี้ ควรแค่แก่การเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายอยากจะบอกทุกคนว่า “ถ้าเราไม่สิ้นหวัง หนทางข้างหน้าก็ยังมี” เราเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์ก็ยังต้องขึ้น ก็เหมือนกับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกคน และอย่าลืมว่าลอง “คิดแบบดอรี่” ดูสักที แล้วคุณจะสู้ต่อไปได้อีกไกล เว็บดูอนิเมะ,ดูอนิเมะ